รส สิ วลี
วิธีการวางแผน ผู้บริหารจะต้องมุ่งที่ประสิทธิผลของการวางแผนคือ ทำให้บรรลุเป้าหมายที่ระบุไว้ในแผน ขณะเดียวกันก็มุ่งให้เกิดประสิทธิภาพของการวางแผนคือต้องเสียค่าใช้จ่ายต่ำสุดด้วย นอกจากนี้การวางแผนจะต้องก่อให้เกิดความพอแก่ตัวบุคคลและกลุ่มในองค์การด้วย การจะทำให้ได้แผนที่มี ลักษณะดังกล่าวผู้บริหารจะต้องเลือกวิธีการวางแผนให้เหมาะสม ซึ่งมีหลายวิธีคือ 1.
สุรพรรษ์ เพ็ญจำรัส อังคารที่ 6 มีนาคม 2561 "ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง เพื่อการพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด ในกรณีต้องการอ้างอิงเพื่อการศึกษา กรุณาให้เครดิตโดยอ้างอิงถึงผู้เรียบเรียงและบริษัทเจ้าของเว็บไซด์ด้วย"
The process of top-down and bottom-up planning is controlled and tracked by the system. PEA can expect better work coordination and better efficiency as the consolidation of the planning figures from planning department are done on real time basis. 0 /5000 Results ( Thai) 1: [Copy] Copied! กระบวนการของการวางแผนบนลงล่าง และล่างขึ้นควบคุม และติดตามระบบ ถั่วสามารถคาดหวังประสานงานทำงานดีขึ้นและประสิทธิภาพดีขึ้นเป็นการรวมตัวเลขการวางแผนจากการวางแผนจะทำในเวลาจริง Being translated, please wait.. Results ( Thai) 2: [Copy] Copied! กระบวนการของการจากบนลงล่างและล่างขึ้นการวางแผนการควบคุมและการติดตามโดยระบบ กฟภ Results ( Thai) 3: [Copy] Copied!
สาระดีดี โดย Dr. P&L / ดร. สุรพรรษ์ เพ็ญจำรัส / การทำงานแบบ Top-Down และ Bottom-Up เรื่อง การทำงานแบบ Top-Down และ Bottom-Up ในการจัดทำนโยบายการทำงาน หรือการบริหารจัดการกระบวนการทำงานต่าง ๆ ภายในองค์กร สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ 1.
เน้นการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการที่จำเป็นพื้นฐานของประชาชน 2. เน้นการกระจายอำนาจ (Decentralization) และความเจริญไปยังพื้นที่เป้าหมายอย่างทั่วถึง 3. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคเกษตรกรรม และพื้นที่ชนบทมาก 4. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) 5. เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Quality of Life) ของประเทศ 6. เน้นการพัฒนาทุก ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กันแบบบูรณาการ (Integration) ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การบริหาร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 7. สนับสนุนการใช้แรงงาน และทุนภายในประเทศ (Labour& Capital) 8. เน้นการมีส่วนร่วม (Participation) ของประชาชนในชุมชน
ถ้าพัฒนาตามทฤษฎีภาวะทันสมัย ประเทศตะวันตกที่เจริญจะเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง ในขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาจะเป็นบริวาร หรือต้องพึ่งพาภายนอกอยู่ตลอดเวลา 2. ควรมีการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และสังคมเสียใหม่ เพื่อที่จะนำไปสู่การกระจายผลของการพัฒนาอย่างเป็นธรรม 3. กระบวนการที่สามารถกระทำได้คือ การลดการพึ่งพาจากภายนอกลง และการที่ประเทศพยายามเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งตนเองให้มากขึ้น ซึ่งทฤษฎีพึ่งพานี้นักวิชาการมิได้เสนอแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจน 3. ทฤษฎีความจำเป็นพื้นฐาน (Basic Needs Theory) เกิดจากแนวคิดของนักวิชาการกลุ่ม องค์การกรรมกรระหว่างประเทศ (ILO = International Labour Organization) และนักเศรษฐศาสตร์ เช่นดัดเลย์ เซียร์, ( Duley Seer) พอล สทรีทเท็น ( PualStreeten), กุนนาร์ ไมด์ดัล ( Gunnar Myrdal) ซึ่งเรียกร้องให้มีการดำเนินการวิเคราะห์เพื่อกำหนดเงื่อนไขทางสังคมและการจัดเตรียมสถาบันต่างๆก่อนการพัฒนา ตามทฤษฎีนี้แนวทางการพัฒนามาจากกรอบความคิดในการวางแผนจากส่วนกลาง ไปสู่การวางแผนจากระดับล่าง (bottom – up planning) ตามความต้องการความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประเทศจุดเน้นสำคัญของทฤษฎีความจำเป็นพื้นฐานคือ 1.
กฤติน กุลเพ็ง "ประสบการณ์ 25 ปี ทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาองค์กร เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์สมัยใหม่บริหารวัฒนธรรมองค์กร และ การ Implement Competency Model ให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน ประสบการณ์ในการทำงานในเครือซิเมนต์ไทยมา 15 ปี เป็นอาจารย์พิเศษ สอนด้าน Human Resource Management มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตบางแสน"
08 มี. ค. 2012 ทฤษฎี หลักการ แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่สำคัญมี 3 ทฤษฎี (ปกรณ์ ปรียากร. ม. ป. : 25- 50) คือ ทฤษฎีภาวะทันสมัย ( Modernization Theory) ทฤษฎีพึ่งพา (Dependency Theory) ทฤษฎีความจำเป็นพื้นฐาน (Basic Needs Theory) 1. ทฤษฎีภาวะทันสมัย (Modernization Theory) ทฤษฎีนี้อาศัยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก (Neo-Classic Theory) และทฤษฎีสังคมศาสตร์ของอเมริกันมาประยุกต์เป็นกรอบการวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งจุดเน้นของแนวคิดทฤษฎีนี้ คือ การที่จะพัฒนาประเทศให้ทันสมัยนั้นต้องมีการดำเนินไปในทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม การเมือง ความรู้สึกนึกคิด และความรู้ของคนในสังคมจะขาดด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ เพราะแต่ละด้านมีความสัมพันธ์กันตลอดจนส่งผลซึ่งกันและกัน ทฤษฎีภาวะทันสมัย เน้นในเรื่องต่อไปนี้คือ 1. เน้นการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยอาศัยอุตสาหกรรมเป็นตัวนำในการพัฒนา 2. เน้นบทบาทของรัฐในการวางแผนจากส่วนกลาง (Top – down Planning) 3. เน้นพัฒนาสังคมเมือง (Urbanization) โดยสร้างสังคมเมืองให้ทันสมัย 4. เน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งนี้เพราะทฤษฎีนี้เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม 5. เน้นการใช้ทุนเข้มข้นจากภายนอกประเทศ 2.