รส สิ วลี
ดิลกะ อ้างถึงผลการศึกษาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พบว่า การจัดการศึกษาทางไกลทำให้ความรู้ของเด็กนักเรียนสูญหายไปราว 50% หรือเท่ากับเวลาประมาณครึ่งปี และหากสถานการณ์ยังต่อเนื่องไปถึงสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 อัตราการสูญหายทางการเรียนรู้ของเด็กจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปเท่ากับช่วงเวลา 1 ปี การคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนไปถึงผลที่จะเกิดกับเศรษฐกิจในอนาคตว่าจะมีมูลค่าความสูญเสียมากกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ในประเทศไทย ถ้าสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2564 อัตราการสูญเสียการเรียนรู้จะอยู่ที่ประมาณ 1. 27 ปี คิดความเสียหายเป็นมูลค่าประมาณ 3.
0 10. งบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2550 – 2558 มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นเดียวกับจำนวนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด โดยที่ร้อยละของงบประมาณด้านการศึกษาต่องบประมาณรายจ่ายทั้งหมด มากที่สุดในปี 2550 และในปี 2558 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2557 ในขณะที่ร้อยละของงบประมาณด้านการศึกษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มากที่สุดในปี 2552 และในปี 2558 ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2557 * ผู้สนใจสามารถติดต่ออ่านเอกสารดังกล่าวเพิ่มเติมได้ที่
3% ในปี 2523 เป็น 21. 8% ในปี 2543 และระดับอุดมศึกษาสูงขึ้นจาก 2. 2% ในปี 2523 เป็น 8. 8% ในปี 2543 อย่างไรก็ตาม พบว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับการศึกษา แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนลดลงจาก 15. 8% ในปี 2523 เป็น 8. 8% ในปี 2543 ก็ตาม คนกลุ่มนี้อาจเป็นคนไทยที่ยากจน ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานจนไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา หรืออาจเป็นผู้สูงอายุที่เมื่อก่อนมีโอกาสทางการศึกษาน้อย เป็นต้น หากพิจารณาปีการศึกษาเฉลี่ยของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป จะเห็นได้ว่า เพิ่มสูงขึ้นจาก 5. 7 ปี ในปี 2533 เป็น 7. 2 ปี ในปี 2543 โดยเฉพาะประชากรในกรุงเทพมหานครมีปีการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าภาคอื่น คือ 8. 8 ปี ในปี 2533 เพิ่มเป็น 9. 7 ปี ในปี 2543 ส่วนภาคเหนือเป็นภาคที่ประชากรมีปีการศึกษาเฉลี่ยต่ำสุดคือ 4. 9 ปี ในปี 2533 และ 6. 1 ปี ในปี 2543 อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ ยังมีเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในวัยเรียน (อายุ 6 – 24 ปี) แต่ไม่ได้กำลังเรียนหนังสือ แม้จะมีสัดส่วนลดลงจาก 55. 0% ในปี 2523 เหลือ 38. 9% ในปี 2543 ก็ตาม แต่ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เหตุใดเด็กและเยาวชนเหล่านี้จึงไม่ได้เรียน?? คงต้องรอลุ้นผลจากการสำมะโนประชากรและเคหะ ปี 2553 ว่าคนไทยทั้งประเทศ อ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้กันทุกคนหรือยัง รวมไปถึง ปัจจุบันนี้ ปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทย เป็นเท่าไหร่แล้ว!!!
06 ก. พ. 2565 เวลา 7:39 น. 2.
ร. บ. การศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 โดยประเมินจากคุณภาพภายนอกสถานศึกษา 17, 562 แห่งทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 49. 1 ของโรงเรียนทั้งหมด พบว่า การจัดการเรียนการสอนของครูยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ยังมีคุณภาพอยู่ในระดับร้อยละ 39. 2 การจัดกิจกรรมที่กระตุ้นผู้เรียนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ มีคุณภาพอยู่ระดับ ร้อยละ 13. 5 และครูสามารถนำผลการประเมินมาปรับการเรียนและเปลี่ยนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพเพียงร้อยละ 21. 6 ของสถานศึกษาทั้งหมด การประเมินคุณภาพทางด้านผู้เรียนพบว่า ยังมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนระดับต่ำมากในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ มีวิจารณญาณและความคิดสร้างสรรค์ มีคุณภาพระดับดีเพียงร้อยละ 11. 1 และการมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีคุณภาพดีเพียงร้อยละ 26. 5 ของสถานศึกษาทั้งหมด ส่วนผลการประเมินของผู้ตรวจราชการ พบว่า โครงสร้างการบริหารการศึกษาในส่วนกลาง ยังขาดการประสานเชื่อมโยงนโยบายและยุทธศาสตร์ ส่วนภูมิภาคพบว่าผู้แทนกระทรวงในจังหวัดยังไม่ชัดเจน การกระจายอำนาจไม่เป็นไปตามกฎหมาย ที่สำคัญครูจำนวนมากยังสอนแบบเดิม ขาดความรู้ในเนื้อหาวิชาและทักษะการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะครูในโรงเรียนขนาดเล็กขาดโอกาสพัฒนามาก เพราะไม่สามารถทิ้งห้องเรียนได้ การติดตามผลยังไม่เข้มแข็ง ไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทางการศึกษา สาเหตุที่ทำให้การศึกษาของไทยพัฒนาช้า วิเคราะห์ได้ดังนี้ 1.
จำแนกข้อมูลนักเรียนกลุ่ม "เปราะบาง" ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มด้อยโอกาสและกลุ่มเด็กพิการ โดยได้จัดแสดงรายละเอียดของทั้งกลุ่มด้อยโอกาสและกลุ่มพิการ เพื่อให้ผู้จัดทำนโยบายมองเห็นปัญหาที่แตกต่างกันของเด็กนักเรียนแต่ละกลุ่มและเพื่อให้การช่วยเหลือได้ตรงจุด ตัวเลขภาพรวมเด็กด้อยโอกาสทั้งประเทศมีจำนวน 3, 625, 048 คน แต่สัดส่วนกลุ่มที่มากที่สุดถึง 99. 26% คือ "เด็กยากจน" ซึ่งมีจำนวนถึง 3, 598, 125 คน และในปี 2562 กลุ่มเด็กยากจนมีรายได้เฉลี่ย 1, 368. 97 บาทต่อครัวเรือนต่อสมาชิก 4 คนในครอบครัว โดยปัญหารองจากฐานะทางเศรษฐกิจ 4 อันดับ ได้แก่ ภาระพึ่งพิง ไม่มียานพาหนะ ไม่มีที่ดินทำกินและสภาพบ้านชำรุด ทั้งนี้ กสศ. ยังได้จัดข้อมูล "กลุ่มยากจนพิเศษ" เพื่อออกแบบมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เนื่องจากกลุ่มยากจนพิเศษเป็นกลุ่มที่มีฐานะและความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดย กสศ. จะพิจารณาจากเกณฑ์สถานะครัวเรือน 8 ข้อ คือ (1) สมาชิกครัวเรือนที่มีภาวะพึ่งพิง พิการ ผู้สูงอายุ หรือไม่มีรายได้ (2) การอยู่อาศัย (3) สภาพที่อยู่อาศัย (4) ที่ดินทำการเกษตร รวมกรณีเช่า (5) แหล่งน้ำดื่ม/ใช้ (6) แหล่งไฟฟ้าหลัก (7) ยานพาหนะในครัวเรือน และ (8) ของใช้ที่ใช้งานได้ในครัวเรือน โดยข้อมูลรายได้และสถานะครัวเรือนจะถูกนํามาคํานวณด้วยวิธีการทางสถิติแบบวัดรายได้ทางอ้อม แล้วสรุปออกมาเป็นค่าคะแนนความยากจนตั้งแต่ระดับน้อยถึงมากที่สุด ส่วนกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ กำพร้า 15, 173 คน คิดเป็น 0.
28 ล้านคน โดยสรุปจำนวนนักเรียน นักศึกษาทุกระดับการศึกษามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นการศึกษาระดับอุดมศึกษามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 ถึง 2557 2. จำนวนนักเรียน นักศึกษารายชั้นต่อประชากรในระบบโรงเรียน ปีการศึกษา 2556 มีสัดส่วนที่สูงในระดับประถมศึกษาและน้อยลงในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยสัดส่วนนักเรียนต่อประชากรในระดับประถมศึกษาที่อายุ 6-11 ปี เกินร้อยละ 90 ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่อายุ 12-14 ปี เกินร้อยละ 85 ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่อายุ 15-17 ปี ในระดับชั้น ม. 4/ปวช. 1 ไม่ถึงร้อยละ 85 แต่ในระดับ ม. 5/ปวช. 2–ม. 6/ปวช. 3 ไม่ถึงร้อยละ 80 โดยที่สัดส่วนนักเรียนประเภทสามัญศึกษาต่ออาชีวศึกษาเป็น 67: 33 และอัตราส่วนนักเรียนนักศึกษาต่อประชากรในระดับอุดมศึกษาในชั้นปีที่ 1 มีถึงร้อยละ 57. 9 3. อัตราส่วนนักเรียน นักศึกษาต่อประชากร ปีการศึกษา 2557 ในระดับการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ร้อยละ 96. 7 ลดลงจากปีการศึกษา 2553 ประมาณร้อยละ 1. 5 การศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ร้อยละ 91. 4 ลดลงจากปีการศึกษา 2553 ประมาณร้อยละ 0. 6 การศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 100. 4 เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2553 ประมาณร้อยละ 3.